สองวัน Thai Creator for Real Business Workshop สร้างธุรกิจยังไงดี?
จากที่เรียน content creator มา เรามาเรียน business กันหน่อยไหมว่าเราจะต่อยอดยังไงให้มีเงินมากขึ้น

โครงการ Thai Creator for Real Business Workshop เป็นความร่วมมือของทาง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ, Tellscore และ The Zero Publishing ที่เราคุ้นเคยกันดีกับคนจัดค่าย iCreator Camp นั่นแหละ งานนี้เขารับสมัคร 31 มี.ค. – 30 เม.ย. 68 มีจัดงาน 3 จังหวัด รวม 130 คน
- ขอนแก่น: 31 พ.ค. – 1 มิ.ย. 68 - 25 คน
- พิษณุโลก: 7 – 8 มิ.ย. 68 - 25 คน
- กรุงเทพฯ: 14 – 15 มิ.ย. 68 - 80 คน
ประกาศผลวันที่ 10 พ.ค. 68 ซึ่งเรารู้ผ่าน email คือสมัครนานจนลืมล่ะ พอไปดูหน้าเพจ RAiNMaker คือคุ้นหน้าหลายคนเลย เพราะส่วนใหญ่ชาวค่าย iCreator Camp 2024 ทั้งนั้น แทบจะรียูเนี่ยนแล้ว 555555
แล้วทาง RAiNMaker เขามี email แจ้งรายละเอียดของงาน ทั้ง agenda ทั้งวิธีการเดินทาง ให้เราเตรียมตัวก่อนมาวันงาน
และแน่นอนว่าของเราเป็นรอบจังหวัดกรุงเทพเนอะ จัดที่โรงแรม Mandarin Bangkok ย่านสามย่าน ตรงข้ามสามย่านมิตทาวน์เลย มีการเรียนการสอน 2 วันด้วยกัน แล้วแต่ละวันเรียนอะไรกันบ้าง ได้กินอะไร ไปอ่านกัน
เปิดงานโดยพี่เอ็ม งานนี้เน้นพูดเรื่องธุรกิจเป็นหลัก มีการจัดกลุ่มที่คนคล้าย ๆ กันอยู่ด้วยกัน และมี mix กันบ้าง ในการทำงานกลุ่ม มีการฟังนโยบายจากชาวครีเอเตอร์ด้วย

การขยายธุรกิจจาก Solopreneur สู่ SME
— คุณขจร เจียรนัยพานิชย์ บรรณาธิการบริหารของบริษัท The Zero Publishing ผู้จัดงาน iCreator Conference
พี่เอ็มเป็นทุกอย่างในงานแล้ว เป็นทั้ง MC และ speaker 😆
มีบางหน้าห้ามถ่ายสไลด์ เกี่ยวกับการหารายได้ ทางนี้จดจำมาบ้าง แต่จะเล่าแบบเซฟที่สุดเนอะ
ด้วยความที่บริษัท The Zero Publishing อยู่ใต้บริษัท agency เลยจะรู้ว่าเขาเลือกคนนี้เพราะอะไร

มี case study คนนี้ที่น่าสนใจ เป็นชายหนุ่มผู้โชคดีที่ได้เที่ยวประเทศเปอโตริโก แต่จังหวะนรก เพราะภรรยาเพิ่งคลอดลูกพอดี แล้วลูกก็ยังเล็ก เลยต้องไปเที่ยวคนเดียว เลยให้ไกด์ถ่ายรูปตัวเองให้ เป็นหน้าบูดทุกรูป แล้วเขาก็เอาไปลง Reddit เป็นไวรัล แต่คนนึงที่ไม่ฮาด้วย คือ ประเทศเปอโตริโก เขาก็เลยส่งตั๋วให้เขาเที่ยวใหม่พร้อมภรรยาและลูก แต่ขอให้ถ่ายเป็นหน้ายิ้มจากรูปเดิมที่อัพไป ซึ่งเขาก็ดู happy จริง ๆ แหละลูกเมียมาด้วย
เคสนี้รูปอาจจะสร้าง drama ให้ brand เลยสร้าง content สู้ และ PR ไปในตัว เป็นการแข่งกันที่ content ทำให้มีรายได้ขึ้นมา
หลักสูตร PR สมัยใหม่ กว่า 70% เน้นไปที่ content!

How to make money for creator
เวลา brand หรือ agency อยากทำงานกับเรา สิ่งที่เขาต้องการจากเราก็คือ rate card นั่นเอง
rate card คืออะไร เป็นการบอกว่าเราคือใคร มี content แบบไหน และ rate ราคาเราเป็นเท่าไหร่ แนะนำอย่าใช้ template ใน canva เพราะ rate card เดียวไม่จบ

structure
อันนี้พี่เอ็มเปิด rate card ของ MangoZero ให้ดู เลยมาเขียนย่อยคร่าว ๆ ว่ามีอะไรบ้าง จะได้เอาไปทำให้สวยงาม
- เราเป็นใคร ทำอะไร และเชื่อในแบบไหน เช่น MangoZero คือใคร, แกนของ content พร้อม tagline ให้เห็น mood & tone, ใส่รูปทีม
- มี content แบบไหน และจะ provide service อะไร
- ตัวอย่างงาน อันนี้ brand หรือ agency อยากรู้ที่สุด แนะนำให้แปะงานยอดดีเข้าไป ของ MangoZero จะแปะตัวอย่าง top content พร้อมแนบลิ้งไปด้วย เขาจะได้เปิดไปดูได้
- demographic จากหลังบ้าน + statistics capture รายเดือน รายปี
- เราเคยร่วมงานกับ brand ไหนบ้าง แปะตัวงานอย่าง ราคา พร้อมยอด เลือกตัวที่ดี หรือทำ special project เอาไปแปะด้วยได้
- แบรนด์ที่เราเคยร่วมงานด้วยทั้งหมด
- ราคา มีหลายวิธีในการนำเสนอ ของ MangoZero ทำเป็นตารางสรุปว่ามีอะไรบ้าง มี timeline เป็นยังไง เพราะเขาอยาก compare
- เงื่อนไขในการทำงาน เช่น ใช้เวลาในการทำ content เท่าไหร่ แก้ได้กี่ draft
- ติดต่อเราได้ทางไหน เช่น email, LINE, เบอร์โทร
How to engaging brand from real life
ทำยังไงให้ brand สนใจเรา แล้วเราเกี่ยวอะไรกับเขา เราแก้ปัญหาอะไร แล้วเรามี vision/mission ยังไง

- Relevant: ความเกี่ยวโยง เกี่ยวข้อง brand ไม่รู้จักเราเลย เราต้องทำให้ตัวเองเชื่อมโยงกับเขา ตั้งแต่ first impression เช่น มาจาก iCreator Camp, เรียนจบที่เดียวกัน, เราไปที่นี่บ่อย หรือจะทำ content ไปเรื่อย ๆ จนเขาสนใจก็ได้ ซึ่งเราสามารถทำก่อนได้เลย ไม่ต้องรอใครมาติดต่อ
- Solution: เราแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง? หา pain point และ need หรือแผลของเขาให้เจอ แล้วเอาสิ่งที่มีมารักษาแผลให้เขาได้ เช่น ถ้าเราทำ affiliate เก่งก็เสนอตัวช่วยเขาขายได้
- Vision/Mission: creator ติดหลุมขายยอด ขายราคา ซึ่งจะมีคนที่ถูกกว่า และยอดดีกว่าเรา แล้วยอดมันก็ซื้อได้ และหาคนที่ถูกกว่าได้ แต่เราเชื่อในอะไร แล้วมี vision อะไรออกมาบ้าง และเราทำสิ่งนี้เพราะอะไร?
เข้าใจศักยภาพตัวเองและการเป็น 'Solopreneur'
— คุณพิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ เจ้าของเพจ PEAR is hungry
ทำในสิ่งที่เราเชื่อ ในกรอบของอาหาร ทำยังไงให้ยั่งยืน

แล้ว content creator ในมุมมองของเราคืออะไร? เราสามารถ define ในความหมายของเราได้
หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นหน้าคุณแพรจากเบื้องหน้า แล้วมาเป็น content creator มา 8 ปี ได้ยังไง?
- 2018 เริ่มจากการที่เริ่มไม่มีงานเบื้องหน้า แล้วจะไปทำอะไรต่อดี เป็นคนชอบกิน เลยไปทำ content สายกิน fish & chip 4 ep ที่อังกฤษแล้วหยุดทำ
- 2019 ไปบุกครัวบ้านเพื่อน ทำไป 2 ep มีลูกค้าเข้า เพราะเดินไปขายให้แบรนด์ต่าง ๆ
- 2020 - 2021 ช่วง COVID ทุกคนอยู่บ้านทำช่องของตัวเอง ลูกค้ามีทางเลือกเยอะขึ้น
- 2022 ตั้งต้นใหม่ ลด scale การทำงานทั้งหมด ทดลองหาจุดขายใหม่ เลยเป็นเบื้องหลังของอาหาร และทำ short-clip บน TikTok
- หลัง ๆ รู้ว่าถนัดอะไร และช่องมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้เห็นภาพมากขึ้น เกิด idea จากภูเขาขยะเศษอาหาร เลยโคกับทาง TikTok กับโครงการกินหมดจาน จาก awareness เป็น action ว่าเขาทำจริง ๆ ไหม เพราะต้องการเก็บ data แล้วมีโครงการร่วมกับร้านอาหารอย่าง restaurant makeover
สรุป คือ จังหวะเวลาสำคัญ พูดผิดเวลาไม่เกิด และอยู่มาได้ยาวเพราะการบริหารจัดการการเงิน หรือ money management นั่นเอง

องค์ประกอบของ content creator

- บ้าน: branding, communication, community – เราคือใคร พูดเรื่องอะไร
- โครงสร้าง: production – consistency มีความสมํ่าเสมอ platform ชอบสิ่งนี้
- เสาเข็ม: ทำให้ช้องเราอยู่อย่างยั่งยืน – finance ถ้ายึดอาชีพนี้แล้วรอด การเงินเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ช่องไปต่อได้
ดังนั้นเราไม่ใช่แค่ content creator แต่ยังเป็น entrepreneur ที่เป็น solopreneur ที่มีองค์ประกอบในการสื่อสาร จึงเป็นธุรกิจของการสื่อสารนั่นเอง
บริษัทใหญ่ ที่ทำสื่อ หรือ content creator ทำในสิ่งเดียวกัน คือทำ content ต่างเป็นองค์กรการสื่อสาร แต่ scale ต่างกัน มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
แล้วอะไรทำให้ธุรกิจอยู่รอด?
แบ่งเป็นปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก และข้างในแบ่งอีกว่าอันไหนเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ เช่น
- ปัจจัยภายใน: เงินเดือนควบคุมได้ ความรู้สึกของพนักงานควบคุมไม่ได้
- ปัจจัยภายนอก เช่น เลือก suppiler เองได้ แต่ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เยอะกว่า

ทำได้อย่างเดียว คือการตั้งรับ โดยการ up-skill และ re-skill เรียนแล้วเอาไปขยายขอบเขตตัวเอง
up-skill คือ พัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นการขยายความสามารถของเรา อันไหนเราขาด ก็ไปเรียนเพิ่ม เช่น ลงเรียนเกี่ยวกับธุรกิจ
re-skill เป็นการโละของเก่า เอาของใหม่ใส่ ไม่เกี่ยวกับ skill ที่เรามีอยู่แล้ว เช่น sustainability, AI, graphic อะไรที่เราไม่มีก็ลงเรียนเพิ่มเติม
จากทั้งหมดเลยเป็น aRoundP ขึ้นมา เป็น sustainable solution provider นอกจากเรื่อง communication แล้วยังทำ project กับองค์กร อีกทั้งยัง transform ไปทาง sustainable ให้ impact อีกด้วย
ทำไมถึง execution 2 project ไปในเวลาเดียวกันได้? เพราะไม่เหมือนกันนั่นเอง ของกินหมดจานจะเป็นอินฟูสายกินแนะนำร้านที่เขาชอบ ให้เราไปสนับสนุนตามกินร้านนั้น ๆ ลด food waste ตั้งแต่ตอนกิน ส่วน restaurant makeover เป็นส่วนของร้านอาหารที่จะแยกขยะส่งให้ทาง กทม. เพื่อลดขยะอาหาร
ผลคือ จัดการขยะอาหารไปได้ 18 ตัน, ร้านอาหารมีการจัดการขยะอาหารอย่างเป็นรูปธรรม, พนักงานเก็บขยะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่ต้องไปเสี่ยงกับเชื้อโรค และลดโอกาสการเกิดโรคของคนที่อยู่รอบกองขยะ
ดังนั้นโครงการไม่เกิด ถ้าไม่มีลูกค้า ไม่มีเงินไปสร้าง impact ให้เงินกับทุกคน เขียน project กับวิ่งหาทุนกับที่ที่เป็นไปได้
Start with question?
รู้เป้าหมาย ไปในทางที่ถูกต้องมากขึ้น ต้องชัดเจนว่าเราทำสิ่งนี้เพราะอะไร แล้วสายป่านเรายาวไหม หาเงินจากไหน และส่งมอบอะไรให้กับพวกเขา โดยการทำ Business Model Canvas นั่นเอง

Don't & Do
- Don't อาจจะไม่ work สำหรับทุกคน ที่คุณแพรเล่าคือให้เห็นกระบวนการที่มาที่ไป เห็นเป้าหมาย และทำเพื่ออะไร
- Do
- เริ่มจากการตั้งคำถาม ใช้ 5W 1H
- mission & goal: เห็นเป้าหมาย ทำให้รู้ทิศทาง
- objective: เราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร เช่น สร้าง branding, เพิ่มยอด view
Creator Economy ของไทย โอกาส ความท้าทาย
— คุณสุวิตา จริญวงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท บริษัท เกลสกอร์ จํากัด (Tellscore)

Content Creator บางคนเติบโตจนออกสินค้า มี brand ของตัวเอง หรือทำ production house มีแหล่งรายได้ที่ 2 - 3
Tellscore เป็น platform content creator แล้วมันทำงานยังไง?
เริ่มจากสิ่งที่ตลาดยังขาดใน 10 ปีที่แล้ว คือเรายังไม่เห็น performance เลยเกิดตัว marketing funnel ขึ้นมา
ยุคนี้เป็นยุค ESG (Environmental, social, and governance) เช่น sustainable ให้ความสำคัญกับ government โปร่งใส ไม่ทุนเทา ทำให้ profile สวย และได้เงินด้วย
ภาพรวมโอกาส และการสร้างรายได้ ซึ่งเขาขึ้นสไลด์ไว ๆ ไม่ได้จดนะ เน้นถ่ายรูป





ในเรื่องของนิยาม เราต้องจูนให้ตรงกันก่อน ถ้าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อันนี้เข้าใจง่ายเนอะ คือคนทำ content ปักตระกร้า ขายของใด ๆ ได้รายได้จาก affiliate
ส่วนเราเองเป็น content creator มีหน้าที่ในการผลิต content บน social media platform ต่าง ๆ ซึ่งเราได้รายได้จากการผลิต content
ถ้าเป็น influencer ความ influence เป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้ เป็นคนมีชื่อเสียง
ทั้งสามสามารถเป็นในคนเดียวกันได้

รายได้ของ content creator
- ทำคอนเทนต์รีวิวสินค้า: pay per post รีวิวสินค้า (ราคา rate card 3-5 ตัว)
- คอมมิชชั่นจากยอดขายสินค้า: ปักตระกร้า หรือ affiliate marketing ประเทศจีนได้ค่าคอม 40% เขาไลฟ์ 12 ชั่วโมง/วัน
- ลิขสิทธิ์คอนเทนต์: ขายขาด content charge 30% ส่วนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ
- วิทยากร ไปร่วมงาน ออกนอกสถานที่: เริ่มมีชื่อเสียงอยากจะถูกจ้างเป็นวิทยากร ให้ความรู้งี้
- FC สนับสนุน เช่น subscription รายเดือน อาจจะทำ exclusive content เดือนละชิ้น, ได้จากคนซื้อ item ในไลฟ์, donate
- Fan Meets เช่น จัดงานวันเกิด จัด talk หรือ concert ในส่วนนี้ปลอดภัยเรื่องรายได้ และ check rate ราคาได้
- Merchandise ต่าง ๆ

การสร้างรายได้
แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
Red Ocean
เน้น lifestyle เขาต้องการ value ราคาที่ได้ตํ่า และไม่ดีในระยะยาว เป็นงานเร่ง แต่เราก็ได้ brand ดี ๆ มาลง port งานเราได้


Blue Ocean
งานที่เขาไม่ชอบ เราหยุดทำได้ ทำเพื่อทดสอบตลาด
เจองานบรีฟไม่ชัด บางทีเขาอยากให้เราเป็นที่ปรึกษา


เราสามารถขยับจาก red ocean เป็น blue ocean ได้โดยการทำ content ควรมี hero content และตัว fan meet size 50 คนสามารถเริ่มได้เลย

sentiment ที่สำคัญ
จับกระแส ข่าวสารบ้านเมืองต่าง ๆ แนะนำทำช่อง follower เยอะ ๆ แค่ 1 - 2 ช่องพอ
- Soft power sentiment: 12 หมวดที่สนับสนุน
- creator culture: มีตัวตน มีช่องทางติดตาม และทำ content เป็นประจำ
- ดึงดูด brand ในการสร้าง bloue ocean ได้ เช่น หมูเด้ง น้องเนย จองคัลแลน




- economic sentiment: คนมาเป็น content creator กันมากขึ้น ในการหารายได้เสริม หรือเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีงาน อาจจะทำรอไปก่อน

- market sentiment: เงินอยู่ที่ไหน

journey การคิดแคมเปญ


อย่าลืม capture stat ให้ลูกค้าดูด้วย และเก็บไว้ดูเองเพื่อว่าเราคำนวณได้ว่าเราได้ engagement ในราคาเท่าไหร่ organic สามารถสู้ algorithm ได้ ถ้ามันไม่ขึ้น อาจจะให้เพื่อน 50 คนที่น่าเชื่อถือ ช่วยกันดัน content ให้เราได้ engagement กลับมาใกล้เดิมได้
คั่นด้วยอาหารเที่ยง ซึ่งแน่นอน จัดที่โรงแรม อาหารก็ต้องเป็นบุฟเฟต์โรงแรมเนอะ ก็ตักโน้นนี่มา ชอบนํ้าพริกอ่อง จิ้มกับทุกอย่างที่จิ้มได้ วันแรกได้เรียนรู้ว่าถ้าจะกินแตงกวา ให้ไปหยิบโซนสลัดกินง่ายกว่า เพราะมันแข็งน้อยกว่า

ช่วงบ่ายก็นั่งตามกลุ่ม ทางนี้แน่นอนว่าเจอฟีฟ่าอยู่แล้ว เพราะมาทางสาย IT เหมือนกัน ซึ่งตอนเช้ามา check กันก็กลุ่มเดียวกันจริง ส่วนชาวค่ายคนอื่นก็กระจาย ๆ กันไป และรู้จักคนใหม่ ๆ ที่วันแรกฉันจำไม่ได้ค่อยได้เลย
แล้วใน session อาจารย์ไอซ์ ให้เราหยิบเพื่อน 1 คน ให้เรามาวิเคราะห์ Discover your audience Canvas for creator กับ Value Proposition แล้วมีโดดเด่นต่างจากเพื่อน คือร้านยา มอ ออ เลยหยิบอันนี้มากัน

การหา Value Proposition เพื่อหาจุดแข็ง และโอกาสทางธุรกิจ
— ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีมวิจัย
เราต้องหา value proposition ให้เจอ ว่าเราส่งมอบคุณค่าอะไรให้คนอื่น ทำให้แตกต่างจากคนอื่น และเราจะทำได้เมื่อ

- Target Audience: เรามี target ชัด และเข้าใจ insight ของ audience
- Unique Content Offering: เราส่งมอบ unique content ได้อย่างไร และแตปต่างจากคนอื่นได้อย่างไร
- Benefit Communication: ส่งมอบ benefit ให้กับคนอื่นได้ grab & go เขาได้อะไรจาก content แล้วเอาอะไรจากเราไปทำ action บางอย่างต่อ
ตัวอย่างสื่อ
- Huffpost: สื่อ commercial ที่ให้เสียงคนเยอะมาก เป็นสื่เแรกที่ได้รางวัล Pulitzer มากับ pain point ที่ว่าไม่มีพื้นที่ให้คนทำงานบรรณาธิการ และงานตัวเองได้อย่างจริงจัง ทำสื่อที่ม่คุณภาพ และสร้างรายได้ไปพร้อมกันได้

- NileRed: ทำสื่อวิทยาศาสตร์ให้คนทั่วไปเข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย และสนุกไปกะบมัน ซึ่งตอบโจทย์สิ่งที่ audience ต้องการ ส่งสิ่งใหม่ ๆ ไปได้

product ของ content creator อย่างเรา ๆ คือ content ทำให้เกิด service บางอย่าง หรือทำ merchandising ออกมา และมีไอเดียผู้ประกอบการให้ต่อยอดได้หลากหลายมากขึ้น

Audience หรือลูกค้าเรา เพิ่ม service หรือบริการรวมถึงการมี community general content ทุกคนทำหมดเช่นสายบิ้วตี้ก็เรื่องการแต่งหน้า รีวิวครีม อาจจะเพิ่มความแตกต่างโดยใส่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ลงไป สามารถขยับหาเงินไป exclusive ที่คนอื่นไม่สามารถทำเหมือนเราได้ เราทำได้คนเดียว
Know your audience
ด้วย Discover your audience Canvas for creator เป็นการดึง insight จาก content โดยคุยกับผู้คน ดูพฤติกรรม ตัว canvas อันนี้เอาไปทำ persona ต่อได้ และตั้งคำถามในการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก จะมี


- Who Are They? (ใครคือผู้ติดตามของเรา): อธิบายตัวตนของผู้ชมหลักของเรา ด้วย Demographic + Lifestyle + Platform เช่น อายุ, เพศ, อาชีพ, พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, อาศัยอยู่ที่ไหน, มี lifestyle ยังไง? พยายามให้เขียนเฉพาะเจาะจง
- What About They Care? (เขาสนใจอะไร หรืออินกับเรื่องไหน): ชอบดูเนื้อหาแบบไหน สนใจเรื่องใดเป็นพิเศษ
- Why do they follow you? (ทำไมเขาต้องมาติดตามเรา): อะไรที่เป็นจุดเด่นของเรา หรือ value อะไรที่เขาได้รับจากเรา แล้วเขาพูดถึงอะไรเกี่ยวกับเราบ้าง
- Pains (ความขัดข้องใจ หรือปัญหา): สิ่งที่เขารู้สึกว่ายังไม่ได้รับ หรือผิดหวัง จากเนื้อหาทั่วไป หรือที่เจอในชีวิตจริง เจออุปสรรคอะไรในการหาข้อมูล มีอะไรที่ยังไม่ตรงใจเขาบ้าง
- Desires/Needs (สิ่งที่เขาแสวงหา): ความต้องการเชิงลึกของเขา การสร้างแรงบันดาลใจ หรือพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิต เช่น อยากเรียนรู้, อยากพัฒนาทักษะ, อยากมีรายได้
- Action (เขาทำอะไรกับเรื่องนี้บ้าง): เสพ content เราแล้วไปทำอะไรบางอย่าง หรือเกิดการเรียนรู้อะไรบ้าง แล้วส่งผลอะไรกับเขาบ้าง
- Community Behavior (พฤติกรรมชุมชน): การมีส่วนร่วมของเขาที่เป็นกลุ่มแฟนคลับ เช่น เขาดูเฉย ๆ หรือเข้ามา engage โดยการ comment, share หรือมี hashtag
Value Proposition canvas
เราจะทำอะไรให้ exclusive มากขึ้น ส่วนวงกลมได้จาก audience / fan / community
- Job-to-be-done: ความต้องการ/พื้นฐานที่ต้องมี
- Pain: ยกจาก canvas เมื่อกี้มาใส่ได้เลย - มีอะไรที่เป็นปัญหา แก้ปัญหาของเขา
- Gain: ความต้องการทางจิตใจ สังคม บางอย่าง เช่น ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น มากกว่าการได้ข้อมูลก็ต้องตอบโจทย์ด้วยนะ - ทำยังไงให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น



ส่วนสี่เหลี่ยม เป็นส่วน creator / content business หรือคุณค่าที่ครีเอเตอร์นำเสนอ เราเอามาวิเคราะห์ ตอบช่องวงกลมแต่ละอัน เน้น focus ช่อง pain กับ gain ที่ตอบโจทย์มากกว่าความต้องการพื้นฐาน
- Product / Service หรือ basic function: เป็นสิ่งที่เราทำ content ปกติ
- Pain Relievers: เราแก้ปัญหาให้เขา สามารถขยายเป็น service, community และ product ของเราเอง
- Grain Creator: ตอบโจทย์มากกว่าความต้องการพื้นฐาน
สุดท้ายเราจะได้ข้อความแบบนี้ออกมา 1 ประโยค ทำให้เราส่งมอบอะไรให้เขาได้อย่าวชัดเจน หลังจาก rewrite แล้วถามตัวเองเป็นประจำในจุดยืนของเรา
ฉันช่วย [ใคร] ที่กำลัง [ปัญหา/ความต้องการ] ให้สามารถ [ผลลัพธ์ที่ต้องการ] ได้ด้วย [สิ่งที่คุณทำ/วิธีการนำเสนอของคุณ]

การหารายได้ และการวางแผนธุรกิจ
— คุณฉวีวรรณ คงโชคสมัย จาก CREATIVE TALK
งาน CTC เกิดจากห้องประชุม พูดภาษาเดียวกันกับลูกค้าตอนขายงาน มีคนฟังเต็มห้องเพราะเข้ามาอัพเทรนด์ใหม่ ๆ ตัวงานมีเนื้อหาหมวดหลัก ๆ คือ creative, marketing, innovation, entrepreneur, people และมี well-being เพิ่มมาด้วย และมี 2 area ที่เริ่มเยอะขึ้น เลยจัดแยกออกมา คือ People กับ MarTech และมีคนจาก สปป. ลาวมางาน CTC เลยมีไปจัดที่โน้นด้วย

ลองจนเจอ fixed-cost สร้างให้เกิดรานจ่าย หรือ investment ทุกอย่างที่ทำเป็น business ได้ด้วย Business Model Canvas นั่นเอง

ดูภาพใหญ่ ทั้งหมดมันมี 9 ช่อง มี 5 เรื่อง มีงานของเราอยู่ฝั่งซ้าย และ cost ฝั่งขวามีลูกค้าของเรา และรายรับ ตรงกลางเป็น Value Proposition คือสิ่งที่ลูกค้าจ่ายให้เรา และทำทุกครั้งเมื่อมีโปรเจกต์ใหม่

- งานของเรา: ลูกค้าของเราคือใคร และความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ
- Key Activity: กิจกรรมของเราคืออะไร เช่น ทำ content
- Key Resource: ต้นทุนที่เราต้องใช้ มี 3 ส่วน คือ
- เงิน
- Resource: เป็นทรัพยากรที่ใช้เงินไปซื้อมา และทำให้เกิดรายได้ได้ด้วย แต่ถ้าไม่เกิดรายได้ มันจะเป็นค่าใช้จ่าย
- เวลา: ค่าเสียโอกาสในแต่ละชั่วโมง อย่างเอาเดือนเงินมาหาร 20 วันทำงาน จะได้เป็น man day แล้วมาคำนวณต่อเป็น man hour
- Key Partner: ทำให้งานเราขยาย และสร้าง value เช่นมี guest ในรายการ ดังนั้นอยู่ที่เราต้องการ partner แบบไหน
- ลูกค้าของเรา: ลูกค้าอยากได้เรามาทำงานให้เขาจริงไหม
- Customer Segment: ลูกค้าของเราคือใคร จะมี B2C ลูกค้าเป็นคนทั่วไป หรือ B2B ที่ขอใบเสนอราคา วางบิล รอ credit term หรืออีกเวย์ยอดฮิตคือ barter ที่ให้ resource กลับมา อันนี้ต้องแยก resource จริงที่มีผลกับเรา ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้เราได้ หรือไม่ได้มีผลกับเรา เราก็ไม่เอางี้ อย่าลืมเก็บ sizing demographic
- Channel: เข้าถึงลูกค้าด้วยวิธีไหนบ้าง วิเคราะห์ behavior ของ audience ส่วนใหญ่เลยคือช่องทาง social ต่าง ๆ นี่แหละ ว่าจะเจอ content ของเราได้ที่ไหน อย่างของ The Standard เขามี content ข่าวหลายหมวดหมุ่ อันไฟ outstanding บ้าง ก็ทำช่องแยก
- Customer Relationship: วิธีบริหารความสัมพันธ์ระหว่าง้รกับลูกค้า ซึ่งในหัวข้อเราจะนึกถึง CRM แหละ แล้วเราจะ keep relationship ยังไงบ้าง เช่น ตอบ comment, inbox แล้วก็อย่าลืมเก็บ stat เพื่อเอาไปประมวณผลมาปรับใช้ในครั้งต่อไป ต้องมี MarTech tool ตั้งแต่ตอนที่ลูกค้ากดซื้อของเราเลย ว่าเขาเป็นใคร คนกลุ่มไหนมาเยอะบ้าง ทำให้เรารู้ต่อหัวว่าต้อง spend ไปเท่าไหร่
- ต้นทุน และรายรับ: viable เป็นกำไร ให้เรา focus งานกับลูกค้า คนละก้อนกัน และบุคคลสำคัญในเรื่องนี้ คือ CFO หรือต้องมีคนดูเรื่อง money management ในส่วนนี้สำคัญมาก ๆ เลย มีเรื่องบัญชีมาเกี่ยวข้องด้วย ราคาขายกับต้นทุน ต้องบริหารการเงินให้ดี เงินในบัญชีเรามีเท่าไหร่ ลูกค้าเราเป็นใคร วิเคราะห์ตาม 5W 1H
- Revenue Stream: รายรับมาจากไหน และเราหามายังไง
- รายรับคงที่ หรือรายรับที่เราได้ต่อเนื่องทุกเดือน เราควรทำ financial finding ช่วงปลายปี เพื่อแพลนล่วงหน้า
- รายรับเป็นก้อน ๆ รับเป็นงาน ๆ ไป
- เราต้องหา balance ให้เจอ ถ้ารับเป็นก้อน ๆ เยอะ ๆ อันตราย
- Cost structure: ต้นทุนมาจากอะไร
- จ่ายเป็นเงินต่อเนื่อง
- ทรัพยากรที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง อย่างรายจ่ายต่อเดือน เช่น คอมถ้าให้พนักงานใช้แบบไม่ maintenance จะอยู่ได้เท่าไหร่ (นึกถึงเรื่องค่าเสื่อมราคาเลย)
- นอกจากเวลาของเราแล้ว ยังเป็นเวลาของคนที่เกี่ยวข้องกับเราอีกด้วย
- มีต้นทุน fix กับอันใหญ่
- Revenue Stream: รายรับมาจากไหน และเราหามายังไง
- สิ่งที่ทำให้ลูกค้าจ่าย: คือ Value proposition คุณค่าของเรา อย่างงาน CTC เราจะเห็น sponsor tier ใด ๆ หรือมาในส่วนของ supporter ที่ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่าย หรือ media partner ที่ช่วยประชาสัมพันธ์งานให้คนรู้จักมากขึ้น หรืออาจจะจ่ายเป็น branding ให้ลูกค้า connect กับ brand ให้เกิด value กลับไปให้เขาก็ได้นะ

การ action หรือลงมือทำสำคัญมาก ๆ ทำให้ relate กับเนื้องานที่เราทำ และ list ออกมาเป็น project

- งานของเรา (HOW): เป็นส่วน Project Management
- ลูกค้าของเรา (WHO): เป็นส่วน Customer Tracking ซึ่งมี status ต่าง ๆ อย่างสีเขียวคือเพิ่ง approved สีเหลืองมีการตัดงบ หรือเลื่อนงบออกไปก่อน และสีแดง
- สิ่งที่ทำให้ลูกค้าจ่าย: credencial ของบริษัท
- ต้นทุน + รายรับ = การเงิน: ควรมี financial sheet ดู profit ว่าเรามี income อะไรบ้าง และเกิด expense อะไร

การทำ Business Model Canvas เริ่มจากอะไร?

- เริ่มจาก Value proposition ก่อน ให้มองว่าเป็นการทำธุรกิจ ไม่ใช่ทำโปรเจกต์
- Customer Segment: วิเคราะห์ว่าลูกค้าของเราคือใคร
- Channel: เราเข้าถึงลูกค้าด้วยวิธีใด
- Customer Relationship: เราจะ maintain ความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไร
- Revenue Stream: รายได้มาจากไหน และหามายังไง
- Cost Structure: ต้นทุนมาจากอะไร
- Key Activity: เกิดกิจกรรมอะไรบ้าง
- Key Partner: partner แบบไหนที่เราต้องการ
- Key Resource: ต้นทุนที่ต้องใช้มีอะไรบ้าง
สำรวจตัวเราแล้ว อย่าลืมไปดูธุรกิจอื่น ๆ ด้วยว่าเขามี busines model ยังไง
ให้ลูกค้ารู้จักเราได้ยังไง?
- draw: front & back stage แนะนำให้มองหาลูกค้าในปีหน้าในเดือน 6 เพราะเขาจัดงบในเดือน 9
- reflect: กับเพื่อน ว่าเรามีความคิดเห็นเหมือนกันไหม และดูตัวอย่างธุรกิจอื่นด้วย
- revise: อย่าหลงรักความคิดแรกของตัวเอง
- act: ลงมือทำ
Q & A
- นอกจากคิดว่าเริ่มทำ ต้องคิดว่าเลิกทำเมื่อไหร่ เพื่อให้งานรันไปเองได้
- spilt รายรับว่าแต่ละงวดเป็นเท่าไหร่ ให้หยอดรายจ่ายมาก่อน
- ถ้าเราทำ free content ให้ลองจัด class หรือ community หรือรับ sponsorship รายเดือนก็ได้
- ถ้าเรา specific ในเรื่องใด เราเอาสิ่งนี้ที่เรามีไปขาย brand ไหนได้บ้าง ทำอะไรร่วมกันได้
- นอกจากใส่แก้ไขงานได้กี่ครั้งแลก ต้องมีกรณียกเลิกงานด้วย
- อย่าลืมดู cash flow หรือกระแสเงินสดด้วยนะ ทำให้เรารู้งบประมาณล่วงหน้า สรุปต้นทุน และรายรับทุกสิ้นเดือน
ถ้าอยากได้พวก canvas ไปเล่นเองล่ะ
- Business Model Canvas: https://www.strategyzer.com/library/the-business-model-canvas
- Value Proposition: https://www.strategyzer.com/library/the-value-proposition-canvas
จากนั้น present งานกลุ่ม ที่เราทำตอน session อาจารย์ไอซ์
และ agenda วันที่ 2

พอวันแรกเลิกเรียนก็มาถ่ายรูปกลุ่ม แล้วก็รูปรวม


จบวันด้วยการกินข้าวกับชาวค่าย iCreator Camp 2024 แล้วก็กลับบ้าน

วันที่สองมาเช้ากว่าเดิมหน่อย มาปั่นสรุปต่อ เมื่อเซ็นต์ชื่อเข้าเรียนเรียบร้อย ก็ได้ใบเซอร์แล้ว แต่เราต้องเรียนต่อน้าอย่าเพิ่งกลับบ้าน5555

แล้วมีแนะนำตัว ชาวค่าย iCreator Camp 2024 โดนเลย เราก็โดน 55555555
AI ในการสร้างธุรกิจครีเอเตอร์
— คุณโชค วิศวโยธิน Co-founder Debuz & GAMEINDY

เราต้องรู้ว่า AI เอาไปช่วยงานเรายังไงได้บ้าง มีหลาย ๆ tool เลยด้วยกัน
- Adobe Photoshop กับ Adobe Firefly หลาย ๆ คนใช้ Photoshop ทำรูปเนอะ ส่วนตัว Firefly เอาไปทำ video เพื่อเอาไปขายสินค้าได้ ให้ AI ช่วยคิด

- Flair.ai เอาไปทำ video
- virtual try-on ลองเสื้อผ้า เช่น เราวาดชุดนี้ แล้วโยนชุดให้ ChatGPT เจนรูปให้ แล้วใส่กับร่างนางแบบที่เราต้องการได้เลย โดยการ prompt เนอะ เช่นอันนี้เป็น walking in fashion show runway แต่เมื่อเราเจนรูปไปเรื่อย ๆ เนี่ย มันจะมีความเพี้ยนไปเรื่อย ๆ จะต้องระวังถ้าเป็นสินค้าจริง ในการ prompt ให้อธิบายอย่างละเอียด สะท้อนอารมณ์ออกมา

ส่วนอันนี้แบบ advance สายต่อเยอะแยะเลย และสิ่งที่สำคัญคืออะไร ก็คือ prompt นั่นเอง


- LTX.Studio ใช้ทำ storytelling ตอน pre-production แบบเร็ว ๆ จัดมุมกล้องได้ด้วย คิด scene ให้เราหมดเลย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปีที่แล้ว

- Hedra ใช้ทำ post-production เป็น model ของจีน
- Google Veo 3 ออกช่วง Google IO 2025 ที่ผ่านมา เป็น prompt-to-video มีความสมจริงมากขึ้น และพูดภาษาไทยได้ด้วยนะ
- Google Flow ตอนนี้ในไทยยังใช้ไม่ได้ เราอยากได้อะไรไปบอกใน prompt ได้เลย
- Higgsfield เอาไปทำ short-ad มี template ให้เราเลือกใช้ เราก็ upload สินค้าลงไป มันจะเปลี่ยนให้
- suno.com เอาไปทำเพลง

เราเคยเขียนสอนใช้ไปแล้วด้วย คิดว่า UI ตอนนี้น่าจะไม่ต่างจากที่เราเขียน มั้งนะ

เอาไปประกอบธุรกิจ
- Lovable เอาไปทำเว็บหรือแอพได้ แถมเชื่อมกับ Firebase service ยอดฮิตของชาวเดฟ
- usegalileo.ai เราสามารถนั่งคุยกับ AI จนได้เว็บออกมา แล้วเอาไปใส่ใน Figma โปรแกรมยอดฮิตของ designer ที่เอามาทำ UI ให้เดฟเอาไปทำต่ออ่ะ

- Qwen เป็น vision language เชื่อมโยงภาพกับภาษาเข้าด้วยกัน จริง ๆ เนี่ยมันก็คือ Object Detection ที่บอกว่าในภาพตรงไหนมีอะไร ซึ่งมันเข้าใจภาพได้ละเอียดมาก ๆ มากกว่าคน เพราะคน bias

- งานด้านกฏหมาย ใช้ AI ช่วยแล้ว quality ดีขึ้น ซึ่งโจทย์มันก็คือทำยังไงให้งานดีขึ้น และงานเร็วขึ้น งานไหนที่เหมาะกับเรา ถ้างานไหนที่ไม่เหมาะกับเราอาจจะเหมาะกับทีมเราก็ได้ เช่น วิเคราะห์สัญญา


- julius.ai: เป็น data analytics tool เราสามารถเอา Excel มา export csv แล้วโยนเข้าไปได้ การใช้งานเหมือน ChatGPT เราคุยกับมัน บอกมันให้วิเคราะห์ข้อมูลให้ แนะนำถามเป็นภาษาอังกฤษน่าจะดีกว่า
- automation เช่น ถามแล้วตอบกลับได้เลย เป็น flow ที่รุ้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เป็นงานที่ใช้เวลา ฟีลงาน routine จริง ๆ มันจะมีหลายเจ้าอย่าง make.com, n8n, zapier, IFTTT บางเจ้าดูจะเหมาะกับ developer แต่เขาแนะนำมือใหม่ใช้ make.com ง่ายสุด (ว่าง ๆ อยากลองไปเล่นบ้าง)

prompt ยังไงให้ได้ของ?
การวางแผนธุรกิจ ใช้ CRAFT framework

- Context เล่าภาพรวม
- Relevant บอกองค์ประกอบที่สำคัญ
- Action ให้ทำอะไร
- Format รูปแบบที่เราต้องการ หรือ tone
- Terms อะไรที่ต้องมี และต้องไม่มี


การสื่อสารการตลาด อย่างทำ content pillar ภาษาไทยแนะนำให้ใช้ Claude เราต้องบรรยายให้เยอะ บรีฟมันให้ละเอียด เหมือนมีที่ปรึกษาช่วยคิดให้


และหวังว่าทุกคนจะไม่ต้องใช้ในการ Crisis Management ในการ take action อะไรออกมาเมื่อเกิดเหตุ

การทำงานร่วมกัน
namelix.com ถ้าอยากตั้งชื่อธุรกิจใหม่ AI ช่วยคุณได้ แล้วเราเลือกชื่อที่ชอบ บางอันมีติ๊กเขียว .com คือยังไม่มีคนจด domain นี้ เลือกชื่อที่ชอบแล้วเอาไปทำ logo ต่อไป และได้ brand CI มาด้วย แต่ก่อนเอาไปใช้ต้องจ่ายเงินด้วยนะ พวกนี้เอามาเป็น idea ได้ ลดเวลาทำ brand book 2-4 สัปดาห์ ราคาประมาณ 20k แต่ งานที่ได้คืองานเกรด B เราต้องเอาไปต่อยอดให้เป็นงานเกรด A ถ้าเราทำกราฟฟิคสู้ AI ไม่ได้ ยังไงเราก็เจ๊ง สามารถส่งให้ลูกค้าเลือกและให้เขาบรีฟต่อได้ ลดเวลาในส่วนนี้ได้



เปลี่ยน mindset จาก thread เป็น โอกาส
ใช้คิด idea เอาไป draft แล้วเอาไป optimize หรือช่วย check ต่อ
human craft เก่งเชิงลึก แชร์ด้วยประสบการณ์จริง มีนํ้าหนักมากกว่า AI อีกทั้งสร้างมูลค่า หรือ add value ได้อีกด้วย เช่น การใช้ emotional ทำให้ product ขายดีกว่า


เพิ่มความติดสร้างสรรค์ แต่ลดความหลากหลายลง เพราะอะไรล่ะ?

- จำนวนความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น 1 นาทีได้ของ 100 ชิ้น
- คุณภาพงานดีขึ้น
- ลดช่องว่างทางความคิดสร้างสรรค์
- แต่ใช้โปรแกรมเดียวกัน หรือใช้ tool หรือ model เดียวกัน ได้คนละชื่อก็จริง แต่ได้รูปแบบคล้าย หรือเหมือน ๆ กันไปหมด
- focus optimization กับ AI draft / human craft ส่วนงานเน้นเร็ว ให้เน้นคอม เป็น automate หรือ RPA

Trick & Tips
- AI ตอบอะไรมา อย่าเชื่อมัน อย่าริไปทำ automation content เพราะถ้า content นั้นไม่ถูกต้องขึ้นมา ทำให้เราเสียชื่อเสียงได้
- ใช้ภาษาไทยคุยเปลือง token แนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษคุย

- หลักสำคัญ คุยกับ AI เหมือนเป็นคน เหมือนเป็นเพื่อนเราคนนึง
- 1 chat ควรคุยเรื่องเดียว → เพราะว่าตัว LLM ไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ดังนั้นถ้าคุยใน context เดียวกันใช้แชทเดียวกัน คนละ context เปิด chat ใหม่ สั่ง prompt ใหม่เลย

- custom GPT คือทำเป็น 3rd-party ขึ้นมา เช่น เขียนบทละคร, ทำหนังโฆษณา
เอาชื่อคุณโชค "choak visavayodhin" ไป search หาที่ GPTs ได้เลย

ข้อควรพิจารณา
- ภาพจาก AI ไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง → สไตล์ไม่มีลิขสิทธิ์นะ

- ดูว่าตัวไหนเอาไปใช้ commercial ได้บ้าง

- data policy อย่าให้ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลลูกค้าจรง ๆ เพราะมันอาจจะเอาจากที่เราพิมพ์ไปเนี่ยไปเทรน AI ต่อ ถ้าเราใช้ฟรี แก้ปัญหาด้วยเงินสำหรับบางเจ้า หรือของ Claude เขาไม่เอา data เราไปเทรนต่อ
- liability ภาระผูกพันธ์ เช่น เอาไปใช้ได้ถ้ามีปัญหาจะช่วยเคลียร์ให้ หรือตัวใครตัวมันรับผิดชอบกันไปเองนะจ๊ะ

- ในส่วน ecosystem ที่ดี อย่าง Adobe Firefly ใช้ข้อมูลจาก Adobe Stock มาเทรน หรือ Getting Image จับมือกับ Shutter Stock เราได้ภาพที่ถูกลิขสิทธิ์ เจ้าของได้ค่าลิขสิทธิ์กลับมาด้วย
Generative Al for Executives Cheat Sheet
- สร้างชื่อ/ Logo — Namelix
- หาข้อมูลการตลาด วิจัยตลาดแบบง่ายๆ — Perplexity
- ปรึกษาไอเดีย แนวคิด ทำแผนธุรกิจ — ChatGPT / Gemini
- อ่าน/ตรวจร่างสัญญา เขียนโครงการไทย — Claude
- เขียนบทความ สร้างเนื้อหาภาษาไทย — Claude / Grok จะกวนหน่อยตามสไตล์ CEO ของ X
- ช่วยทํา presentation — Gamma
- ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบ data analytics — Julius.aai
- ทําตัวอย่างภาพ mockup สินค้า — ChatGPT

Q & A
- มีบาง model ที่สร้างภาพได้และไม่ได้ ก่อนใช้งานแวะไปดูก่อนสักนิดนึง
- logo จดลิขสิทธิ์ไม่ได้ แต่จดเครื่องหมายการค้าได้
- ไม่ให้เอาข้อมูลของเราไปเทรนต่อยังไง นอกจากบางเจ้าเสียเงินเพื่อสิ่งนี้แล้ว ยังมีการใช้ RAG (Retrieval-Augmented Generation) สั้น ๆ คือเทรน AI จากชุดข้อมูลของเราที่มีอยู่ ใน ChatGPT คนที่เสียเงินสามารถคุยใน folder ได้ หรีอ finetuning เอา AI มาปรับทัศนคติ หรือ train AI สร้าง model ใหม่เลย

เทคนิคการถ่ายภาพเพื่อธุรกิจ
— คุณนันทภพ ศรีทัศนการ Product Specialist จากทาง SONY
trend ทำ home studio เองเยอะมาก เพราะเรา set อุปกรณ์น้อยลง รวมถึงเทคโนโลยีด้วย

สิ่งที่ควรรู้
- Focus Range องศาการรับภาพ กว้างไปแคบ กว้างเป็นเทเล แคบเป็น wide มีผลกับ effect ของภาพ

- และอีกตัวนึงที่มีผลเช่นกัน คือ Angle View มีหลายมุม normal คือระดับสายตา, มุมเสย ทำให้ดูตัวสูงขึ้น ส่วนมุมกดอยู่ที่การใช้งาน ให้เน้น กว้าง กลาง แคบ หรือ กว้าง แคบ ก็ได้ เพราะต้องมีในการเล่าเรื่อง ซึ่งต้องมีหลายมุม เพื่อไม่ให้น่าเบื่อจนเกินไป ถ้าคุยอย่างเดียวใช้ insert เข้าหน้าเรา ส่วนการ review อาจจะหาอีกตัวเข้าตัว product หรือถ่ายที่เราคนเดียวก็ได้ แล้ว insert ที่ product


- Camera Movement ตอนจ้างช่างภาพ บอกให้เขารู้ว่าต้องการแบบไหน

- Composition หัวใจสำคัญในการถ่ายภาพ ใช้กฏสามส่วน หรืออีกชื่อนึงคือจุดตัด 9 ช่อง มีจุดสนใจของภาพ 4 จุดตรงกลาง สามารถลองไปเปิดอันนี้ในมือถือได้นะ



- หน้าชัดหลังเบลอ ทำให้ภาพดูมีมิติมากกว่าจุดตัด จะมี foreground, midground, background แล้วมันเกิดจากอะไร? เลนส์รูรับแสงกว้าง ถ้ามี lens kit ให้ทำดังนี้ zoom lens ให้สุด, focus วัตถุให้ไกลที่สุด ระดับครึ่งตัว และให้วัตถุอยู่ห่างจากฉากหลังมากที่สุด มือถือใช้ระยะเทเล ทำได้เช่นกัน
- Sensor Size นอกจากมีผลต่อหน้าชัดหลังเบลอแล้ว ยังมีผลกับคุณภาพของภาพด้วย มือถือจะเล็กกว่ากล้อง ทำให้บางครั้งมีความละเอียดมากกว่าตัวกล้อง แต่คุณภาพภาพกล้องดีกว่า


10 AI feature for ZV-E10 II
- Eye Auto Focus

- Intelligent 3 capsule mic มีการรับเสียง 3 + 1 auto รูปแบบ

- Product Showcase: focus ของง่าย ๆ ในปุ่มเดียว ตอนรีวิวของไม่ต้องเอามือบัง
- สามารถ Live Stream ด้วยสาย usb-c เพียง 1 เส้น เสียบเข้ากล้องและคอม เปิด platform live ไม่กินแบตกล้อง กินแบตคอม และไร้สายได้แล้ว
- Bokeh Switch หน้าชัดหลังเบลอ ง่าย ๆ แค่ปุ่มเดียว
- Cinematic Vlog โทนสีเหมือนภาพยนตร์

- Face Memory จำหน้าคนได้ ใช้ในกรณีถ่ายคลิปที่มีคนเยอะ ๆ มันจะไม่สนใจคนอื่น เพราะธรรมชาติของกล้องจะ focus ของที่อยู่ใกล้ที่สุด
- Dynamic Range Optimiser ไม่ต้องกลัวภาพมืด
- Creative Look ภาพสวยจบหลังกล้อง
- Soft Skin Effect ผิวเนียน
- ระบบกันสั้นแบบ active ถือกล้องแบบ handhelf แล้วไม่สั่น
การใช้กลไก อววน ส่งเสริมและสนับสนุน Creator ไทย
— ดร.มหัทธน พฤกธิ์ขจรชัย ผู้เชี่ยวชาญนโยบาย สํานักงานสถานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ

ฟังแล้วงง ๆ ว่าจะช่วย Content Creator ได้ยังไงบ้างนะ?
นโยบายเขามีเรื่องพัฒนาผู้ประกอบการ แล้วเขาทำอะไรบ้าง? เขาเน้น 6 ด้านสำคัญ อย่างเศรษฐกิจ บูรณาการ ต่อยอดเทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม ประมาณนี้

Creator Economy เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเกิดอาชีพของคนรุ่นใหม่ เข้าสู่อาชีพนี้ได้ง่าย เป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ และนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น และสอดคล้องกับ soft power ด้วย


มีกลไกต่าง ๆ อย่างสถาบันการศึกษาที่มีองค์ความรู้ มีอาจารย์ที่ถ่ายทอดความรู้ มีความร่วมมือในหลายภาคส่วน อีกทั้งมีกองทุนพัฒนาและวิจัยนวัตกรรม มี 9 แห่งที่สนับสนุน ส่วนใหญ่ขอทุนที่ NIA กัน

ตัวอย่างโครงการ จะมีในส่วน SME, filmaker ที่เป็น visual production technology, digital art เขียนการ์ตูน, STEM plus รวบรวม course ผู้ประกอบการในการอบรมพนักงาน แล้วนำค่าใช้จ่ายที่ให้พนักงานไป training ไปลดหย่อนภาษีได้

ตัวอย่างโครงการฝั่ง content creator


โครงการนอกจากส่วนของกระทรวง อว. ยังมีของ สสว. ด้วย มีพวก e-learning, coach แล้วก็งานภาครัฐ



การใช้ให้สมัคร SME one ID ก่อนใช้งาน เพื่อลงทะเบียนเบื้องต้นได้ 3 ช่องทาง คือ ผ่าน website, ผ่านแอพ SME Connect และแอพทางรัฐ ซึ่งบุคคลธรรมสามารถสมัครได้

จากนั้นกินข้าวเที่ยง เป็นหลนเต้าเจึ้ยว ฟังคนอื่นเม้ามอย

หลังจากกินข้าวเที่ยงใด ๆ เสร็จ ก็ขึ้นไปนั่งตามกลุ่มเหมือนเดิม และมีกระดาษยักษ์เอาไว้ทำกิจกรรมกลุ่มอีกเช่นเคย

Success Case ของครีเอเตอร์ที่ทำธุรกิจสื่อ ถอดรหัสการทําธุรกิจ
— คุณศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของบริษัท Uppercuz และช่องการตลาดการเตลิด

ตัวคุณแอ๊มสวมหมวก 3 ใบ คือ
- agency การตลาด – รู้ก่อนว่าใครมีเงิน แล้วจ้าง creator
- สายตรงบ้าน Meta กับ ByteDance – รู้เรื่อง platform ก่อนใคร
- นักธุรกิจที่มี business ใหม่ทุกปี – content creator ก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้
Unique
สำคัญมาก ๆ เด่นกว่าใคร เด่นกว่าใครจะนึกฝัน
- มี content creator และ influencer ในไทย 2 ล้านคน กลุ่มนี้เน้นทำ content เชิงคุณภาพ
- และมีคนทำ affiliate ขายของ ปักตะกร้า 7 ล้านคน กลุ่มนี้เน้นทำ content เชิงปริมาณ 1 วันลงคลิป 30 - 50 ตัว
- ดังนั้นทั้งหมดจะเป็น 8 - 10 ล้านคน เนื่องจากฝั่ง content creator และ influencer ก็มีไปทำ affiliate
- และเนื่องด้วย birth date ตํ่า บวกกับสังคมสูงวัย ทำให้มีคนเสพ content เท่าเดิม แต่คนสร้างมากขึ้น
- ภายใน 2 ปี 20 - 30% จะเป็น content ที่ AI สร้างขึ้นมา ดังนั้นคนเริ่มตามหา Unique ซึ่ง TikTok ทำง่ายกว่า Facebook page และ YouTube
- แล้วเรามี unique มากพอหรือยัง? เราโตได้ โตช้าหน่อย อยู่ได้นาน
- และนอกจากรับงานสปอนเซอร์ งานจาก brand เรายังขาย skill ที่มีได้ เช่น ไปทำธุรกิจ SME
Quality
หนีให้ไกลเกินกว่าใครคาดหวัง – ทำน้อยแต่ดี
- ตอนนี้ content เยอะจน AI overload
- คนทำ affiliate เยอะ อาจจะได้น้อยลงกว่าเมื่อก่อน
- ยอด view น้อย แต่ดึงดูดคนที่มี quality เข้ามา แล้วจ้างงานเรา และต้องมี business รองรับ แล้วเราจะหาเงินไม่ใช่มาจาก sponsor ได้อย่างไร?
Quantity
ทำมากกว่าใคร ให้ทุกคนสิ้นหวัง
- duplicate quality ให้เป็น quantity ให้ได้ เพื่อให้อยู่รอด ถ้าเรา set ระบบดี quality ไม่ยุ่งยาก ดังนั้นเราต้องแก้ process ที่สามารถกดปุ่มแล้วทำงานได้เลย
- focus ทุก platform ลง content สมํ่าเสมอ เพื่อให้ยอด follower ขึ้น
- แล้ววันนี้ควรโพสเท่าไหร่? YouTube 1 คลิป, TikTok 2-3 คลิป, Facebook 7 posts
- หา quality เจอแล้ว จ้างทีมงานมาช่วยเป็น quantity ได้
ยุคของ AI เข้าร่วม หรือต่อต้าน
เอา AI มาแทนที่ 60% บน Facebook ที่โพสวันนึง 6 - 7 posts จะมี quality 2 ตัว เปลี่ยนไปเป็น quantity ตาม funnel ต่าง ๆ
และ YouTube 1 คลิป สามารถเป็น Facebook ได้ 5 posts เป็นรูป 1 post และ short 3 ตัว
เรา กับ แบรนด์
ให้นึกถึง 3 brand ที่จะเป็นลูกค้าเรา และ manifest ว่าตัวเองทำได้
ทริคการเข้าหาแบรนด์
- act สักหน่อย: ทำให้ดูยุ่งอยู่เสมอ และเราทำเรื่องไหน, act ว่ามีลูกค้าเข้าเรา ซึ่งก็ต้องอยู่พื้นฐานความเป็นจริงด้วย
- ติดต่อหา brand โดยตรงเลย ถ้าเราดีพอ เช่น ส่ง email, ทักหาทีมที่ดูแล influencer ซึ่งไม่ให้มันดูเสล่อมากเกินไป เช่น ช่วยทำเว็บไซต์ให้เขา barter กับหมา
- ไปในที่ที่เขาอยู่: เขาอยู่ตรงไหน เอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น
- แสดงตัวให้รู้ว่ามีเรา ด้านได้อายอด: เราต้องมีของดีด้วย
- ใส่ใจกับ rate card เช่น เรามี 35 หน้า แต่ขนาดไฟล์เล็ก
ทริคสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์
- แถมแล้วแถมอีก ทำแบบมิตรไม่ใช่มิจ: add-on ให้คนรู้สึกคุ้มค่า
- เราคือเพื่อนกัน: คุยกับ agency หรือ brand แบบเพื่อน, อย่าเม็ดเยอะ คนในวงการเม้ากันรับรู้ถึงกันหมด
- นึกถึงเสมอในทุกการกระทำ ทุกมิติ เช่น เขาเคยสร้างเรา แต่ทำฟรีให้เขา เพราะเราต้องอยู่ไปเป็น 10 ปี การเอาเงินจากเขาได้ยาว ๆ ทำงานให้ดี นึกถึงก็มอบให้
- ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเป็นเงินเป็นทองเสมอไป เช่น เข้าไปช่วยงาน ดีลง่าย อำนาจอยู่ที่ agency กับ brand
- ทำ content เพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคตของเรา เช่น อยากขายนํ้าพริก แต่สร้าง account แล้วขายอาจจะไม่ได้ ต้องเป็น content creator ให้คนรู้จักก่อน ให้มีชื่อเสียงแล้วค่อยมีของมาขาย
สรุป เน้นคุณภาพทุก platform และถ้าเราหายไป คนจะร้องไห้ไหม และถ้าเรากลับมาคนจะยังตามเราอยู่ไหม
Sharing Idea จะส่งเสริมครีเอเตอร์ให้เติบโตได้อย่างไร
ก่อนจะมาแชร์ไอเดีย อาจารย์ไอซ์สรุปผลจากแบบสอบถามที่ให้ทุกคนทำ content creator ส่วนใหญ่ที่กรอกแบบสอบถาม เป็น stage 2 หาทิศทาง กับ stage 3 เริ่มได้รับการตอบรับ คนกังวลเรื่องกลยุทธ์และโอกาศ รายได้ การจัดการ

ในส่วนปัญหาเร่งด่วนจะเป็นเรื่องการสร้างรายได้ การเข้าถึงโอกาส

จาก Creator เป็น Creator Economy เป็นระบบเศรษฐกิจของ Content Creator ที่สามารถสร้างรายได้ และสร้างธุรกิจของตัวเองได้

ตัว canvas ที่เราทำกิจกรรมกลุ่มวันนี้ ระหว่างที่ระดมสมอง ก็เดินไปหยิบชากาแฟของว่างตามสะดวกได้เลย

จากนั้นก็ present กลุ่ม


จบงานก็เม้ามอยในกลุ่ม แล้วก็ไปกินขนมเม้ามอยกัน

อันนี้เป็นคลิปบรรยากาศงานทั้ง 2 วันเลย
@mikkipastel ทำไม content creator ต้องรู้เรื่องธุรกิจ? แน่นอนการหารายได้ของ content creator มีหลายทาง และการเป็น content creator นั้นสามารถต่อยอดทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืนเช่นกัน เราเลยจดเนื้อหาจากงาน Thai Creator for Real Business Workshop ที่เราได้เจอเพื่อน #iCreatorCamp #icreatorcamp2024 เอ้ยยย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ และพบปะเพื่อนใหม่ด้วยนะ . แล้ว 2 วันนี้เรียนเรื่องอะไรบ้าง 📅 Day 1 🟣 ทำ rate card และขายงานยังไงให้ brand สนใจ โดยพี่เอ็ม @Khajochi 🟣 เป็น content creator ยังไงให้ยั่งยืน และต่อยอดไปทำธุรกิจเองได้ โดยคุณแพร PEAR is hungry 🟣 ภาพรวม Creator Economy ของไทย โดยคุณปู Tellscore 🟣 ทำ value proposition หาจุดแข็งของเรา โดยอาจารย์ไอซ์ นิเทศ จุฬา 🟣 ทำ business model canvas ของช่องเรากัน โดยพี่โจ้ CREATIVE TALK 📅 Day 2 🟣 เปิดโลก AI สำหรับ content creator โดยคุณโชค Co-founder Debuz & GAMEINDY 🟣 เทคนิคการถ่ายภาพ จากทาง SONY 🟣 การใช้กลไก อววน ส่งเสริมและสนับสนุน Creator ไทย จากทาง สวอช 🟣 ทำ content ของเราให้โดดเด่นกว่าใคร และคุณภาพต้องดี เพิ่มปริมาณ content คุณภาพ โดยคุณแอ๊ม การตลาดการเตลิด . แล้วก็มีกิจกรรมกลุ่มในแต่ละวันด้วยนะ บทความไปดูที่บ้านฟ้าคืนพรุ่งนี้ได้เลย #CreatorForRealBusiness ♬ original sound - มินซอ แอนดรอยด์เดฟ
ติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ และทุกช่องทางโดเนทกันไว้ที่นี่เลย แนะนำให้ใช้ tipme เน้อ ผ่าน promptpay ได้เต็มไม่หักจ้า
ติดตามข่าวสารแบบไว ๆ มาที่ Twitter เลย บางอย่างไม่มีในบล็อก และหน้าเพจนะ
สวัสดีจ้า ฝากเนื้อฝากตัวกับชาวทวิตเตอร์ด้วยน้าา
— Minseo | Stocker DAO (@mikkipastel) August 24, 2020