“ความลับที่คนประสบความสำเร็จไม่เคยบอกคุณ” ที่รู้แล้ว ย่นเวลาให้เราประสบความสำเร็จเร็วขึ้น

Learning Oct 9, 2023

ฟัง session จากพี่โอ๊ต Oppa Bear ในวันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม เวลาทุ่มตรง เต็มอิ่มสองชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว ใครมาฟังโชคดีมากเลยเนอะ กับ “ความลับที่คนประสบความสำเร็จไม่เคยบอกคุณ” ที่รู้แล้ว ย่นเวลาให้เราประสบความสำเร็จเร็วขึ้นน้า ใครมาไม่ทันมาอ่านกัน

Agenda

  • คนประสบความสำเร็จ vs คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ
  • ทำไมบางคนประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่น
  • แนวทางที่จะทำให้หลุดพ้นกับดับชีวิต
  • บทสรุปเคล็ดลับในการทำธุรกิจ

ประเมินตัวเองว่าเราอยู่ในระดับไหน ดูได้จาก wealth spectrum

Employee:

มนุษย์เงินเดือน คนทำงาน ส่วนใหญ่ 80% จะอยู่ในนี้

  • Victim (Infrared): เงินออกมากกว่าเงินเข้าในแต่ละเดือน
  • Survival (Red): หาเดือนชนเดือน หยุดทำงานไม่ได้ ไม่งั้นเป็น level 1 ต่อ เป็นคนหาเช้ากินคํ่า
  • Worker (Orange): คนที่มีเงินเข้ามากกว่าออก cashflow เป็นบวก มีเงินเก็บ เงินไม่ได้มีเยอะมาก แต่ต้องมี action ในการทำ เช่น เก็บเงิน

Entrepreneur

คนมีบริษัท เจ้าของกิจการ

  • Player (Yellow): มีเงินเข้ามากกว่าเงินออก cashflow เป็นบวก แต่เป็น passive มีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ต้องทำงานก็พอมีเงิน เช่น ลงทุนอสังหา เอาคอนโดมาปล่อยเช่า
  • Performer (Green): เงินได้มากขึ้น เพราะมีทีมทำงานให้ แต่ยังไปเจอลูกค้าอยู่ ถ้าหยุดก็ตกลงมาข้างล่างเหมือนกัน เช่น CEO ของบริษัทที่ถือหุ้นด้วย
  • Conductor (Blue): นึกถึงวงดนตรีออเคสต้า ทีมทำงานให้ หาเงินได้มากเหมือนกัน เป็น keyman และลูกค้าวิ่งเข้าหาเอง ซึ่ง conductor ได้เงินมากกว่านักดนตรีถึง 10 เท่าด้วยกัน

Thought Leader

มีไม่ถึง 1% รวมกัน ไม่ว่าทำอะไรคนทำตามหมด

  • Trustee (Indigo): คนที่มีคนเชื่อมั่น นับถือ ส่งผลต่อความคิดอุตสาหกรรม เช่น Lisa เต้นท่าไหน คนเต้นตาม ไปกินร้านไหนคนก็ตาม หยิบจับอะไรก็เป็นเงินไปหมด
  • Composer (Violet): เป็นผู้ประพันธ์ มีผล impact ระดับ global เช่น Tesla ทำรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลต่อความคิด การกระทำของผู้บริโภค
  • Legend (Ultra Violet): เป็นบุคคลสำคัญของโลก

Rule of Wealth Spectrum

กฏ

  1. คนที่ขึ้นไปได้ ต้องมี fundation support คือคนระดับ employee ทำงานให้
  2. สามารถตกลงได้ตลอดเวลา เมื่อหยุดทำ แต่ถ้า level 6 ขึ้นไปหยุดทำไม่เป็นไร ถ้า level 1-3 จะตกลงเร็วกว่าเพื่อนหน่อย
  3. ต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากเดิม ถ้าจะขยับ level ต้องทำ take action ใหม่ด้วย ข้อนี้สำคัญมาก
  4. ถ้าทำแล้วไม่มีผลลัพธ์ ถือว่าเราไม่ได้ทำ

Wealth Network

ถ้าเรารู้ว่าเรารู้ level ไหน คนรอบตัวเราที่เราคุยอยู่ทุกวัน เป็นใครบ้าง

ข้างล่าง

เป็นคนที่คอยผลักดันเราอยู่

  • Specialist: ผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทำอสังหา ผู้เชี่ยวชาญคือวิศวกร นักกฏหมาย นักบัญชี เราต้องมีผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่มีต้องหา
  • Team: คนที่เป็นทีม เช่น sale marketing hr legal ถ้าไม่มีทีม ก็จะไม่มีใคร support คุณ
  • Advocate: คนที่ให้การสนับสนุน เช่น ช่วยตั้งชื่อร้านอาหารให้

ข้างตัว

  • Peer: เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมวงการเดียวกัน คนที่คอย consult recheck remask กับเราได้ เช่นทำอสังหาบ้าน แล้วอยากทำคอมมูนิตี้มอลล์
  • Supporter: คนที่ให้การสนับสนุน ไม่ว่ากำลังใจ เช่น ครอบครัว เพื่อน

ด้านบน

  • Mentor: ต้องมีเลย เป็นที่ปรึกษาให้เรา คนชี้นำทางให้เรา ว่าเรามีจุดแข็ง จุดอ่อนอะไร เป็น consult ให้เรา
  • Opportunist: เป็นพวก new maker เช่น เรารู้จักคนนี้ มารู้จักกันไหม มาทำงานร่วมกันไหม
  • Financier: สนับสนุนด้านการเงิน เช่น ธนาคาร VC

ถ้ามีแรงข้างบนดี จะทำให้เราผลักดันตัวเองขึ้นมาได้

ลองดูว่าคนที่เรารู้จัก 10 สายล่าสุดเป็นใคร เรามีคนที่เรารู้จักช่องไหนบ้าง ถ้านึกคนไม่ออก หรือยังไม่มี เราดูว่าเราอ่อนตรงไหน เติมเต็มตรงไหนบ้าง หรือเราอยากได้คนแบบไหน

Tips: หาอย่างน้อย 1 - 2 คน เพื่อให้เราอัพ level ไป 4 ขึ้นไปได้

วัฎจักรของมนุษย์

คนทั่วไป 99% ก็จะมีวัฎจักร คือ เรียนตบ ทำงาน หาเงิน ซื้อรถ สร้างครอบครัวโดยการแต่งงาน มีลูก หาบ้าน ซื้อประกัน ลูกโตต้องจ่ายค่าเทอม พอแก่ตัวก็เกษียณ เจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาล

คนที่สำเร็จมีสิ่งที่แตกต่างออกไป และเพิ่มเติมจากคนทั่วไป คือเก็บเงินและลงทุนต่อ อาจจะลงทุนในการหาความรู้เพิ่มเติม หรือลงทุน asset อะไรก็ได้ จากนั้นหาธุรกิจและสร้างทีมขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องของเวลา ถ้าหาธุรกิจเจอแล้วสร้างทีม เพื่อให้ทีมทำงานแทนเรา และไม่หยุดสร้าง connection ทำต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อขยาย และ built-up whale network ของเราให้แข็งแรงมากขึ้น รวมถึงหาโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดธุรกิจเดิม ให้เติบโตมากขึ้น ทำให้มี passive income ทำเงินโดยไม่ต้องทำงาน เอาเวลามาหาความรู้เพิ่มเติม และใช้ชีวิตอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ

คำถาม เราอยากเป็นทั่วไป หรือคนที่ประสบความสำเร็จ?

แน่นอนว่าทุกคนอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเนอะ

แล้วความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จคืออะไร? วิธีคิด คือความแตกต่าง ของคนสองกลุ่มนี้

ตัวอย่างความแตกต่างของวิธีคิด

พี่โอ๊ตชอบคุยกับคนขับแท็กซี่ ว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?

คนแรก [Burden] คิดว่าเป็นภาระ ไปไหนไม่ได้ ต้องทำงาน ไม่มีเงินเก็บ มันแย่ ยังต้องทำงานขับแท็กซี่อยู่ ต้องคิดเส้นทางลูกค้า ทำงานแข่งกับเวลา

คนสอง [Income Support] ทำงานประจำยังไม่พอ ต้องหารายได้เพิ่ม เป็นรายได้เสริม (income support)

คนสาม [Financial Freedom] บอกว่าการขับแท็กซี่เป็นอิสระทางการเงิน เป็น passive income เก็บเงินในระยะเวลา 6 - 7 เดือนเพื่อดาวน์รถ และปล่อยเช่าให้คนอื่นขับต่อ ทำให้ดาวน์รถคันใหม่ได้อีกเรื่อย ๆ จนตอนนี้มี 10 กว่าคัน ทำเพราะสนุก เป็นชีวิตในฝัน ไม่ต้องทำงานก็ได้

Pathway to Sucess: แนวทางที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ

จุดเริ่มต้น ควรมีอย่างน้อย 3 - 4 อย่าง อาจจะเป็นการศึกษา ประสบการณ์ passion ความรู้ ครอบครัว mindset แต่แค่นี้ไม่เพียงพอ การประสบความสำเร็จเมื่อมี “วิธีคิด” ที่ดี คือมีวิธีคิดที่ถูกต้อง ทำให้ประสบความสำเร็จได้ดีขึ้น และต้องมีทรัพยากรมา support ด้วย เป็นเชื้อเพลิงหรือตัวเร่งทำให้ไปถึง goal ได้ไวขึ้น ซึ่งก็คือ leverage นั่นเอง

มีวิธีคิดกับ leverage ที่ใหญ่มากขึ้น

แล้ว Leverage มีอะไรบ้างนะ?

  • เงินทุน: เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางคนไม่มีเงิน เราต้องมีวิธีคิดว่าหาเงินยังไง ดูว่าเขาขาดอะไร ถ้ามีประสบการณ์และความรู้ก็ไปถึงฝันได้ อาจจะใช้เงินคนอื่น คือการกู้ ทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
  • ความรู้: ไม่ต้องเรียนรู้เอง สามารถเรียนรู้จากคนที่มีความรู้ได้ ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์เอง อันไหนขาดก็ให้เขาทำให้เรา ไม่ต้องทำเองทุกอย่าง
  • เวลา: คือการสร้างทีม ใช้เงินซื้อเวลา เพื่อให้ตัวเองมีเวลาไปทำอย่างอื่น อันนี้ก็สำคัญที่สุด ถ้าใช้เวลานานเกินไป อาจจะประสบความสำเร็จช้าลง
  • ทรัพยากร: เช่น คน ออฟฟิศ หาวัตถุดิบที่ไหน
  • connection: เช่น คุยผ่านคนนี้ เข้าถึงได้ทุกคนในประเทศไทย บอกว่าอยากรู้จักคนนี้ เขาก็พาเราเข้าไปเลย ทำให้ง่ายไปเยอะมาก / รู้จักคนให้เยอะ ๆ แล้วมีคน proof ให้ ทำให้หา connection ได้ง่ายขึ้น
  • ประสบการณ์คนอื่น: เช่น ขึ้นโครงการนี้ดีไหม ถ้าเราลองผิดลองถูกเองจะ failed เยอะ และหมดความมั่นใจด้วย
  • ฐานลูกค้า: เช่น collab กัน อย่างคนกินอาหาร และคนพักโรงแรม เป็นค่าการตลาด ทำให้ได้ลูกค้าเพิ่ม
  • โอกาส: ใช้ทุกอย่างหมดแล้ว

ทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่ leverage ไม่เท่ากัน ถ้าไม่มี leverage ก็จะถึงเป้าหมายไม่ได้

จะเริ่มต้นยังไง?

เราจะหาธุรกิจของเรายังไง ต้องมีสองสิ่งนี้ก่อน

  • Internal Value: สิ่งที่เรามี เช่นเราชอบอะไร ถนัดทำอะไร
  • External Value: สิ่งที่คนนอกต้องการ

matching internal กับ external เข้าด้วยกัน ถ้ามีคนต้องการในสิ่งที่เราทำ เช่น วาดรูปแล้วมีคนซื้อ ก็ทำให้เกิดได้

เช่น การทำธุรกิจร้านอาหาร

อยากหาธุรกิจใหม่ ใช้ Ansoff Matrix ช่วยสิ

เป็น framework แกนตั้ง ลูกค้า, แกนนอน สินค้า, ข้างในแต่ละแกนมี existing กับ new

  • Marketing Development Strategy: สินค้าเดิม ลูกค้าเดิม เจาะตลาดให้ชัดเจนขึ้น
  • Product Development Strategy: สินค้าใหม่ ลูกค้าเดิม เช่น มีกลุ่มลูกค้ากินร้านอาหาร มี product ใหม่มาเสริม ก็ขายได้แล้ว
  • Market Development Strategy: สินค้าเดิม ลูกค้าใหม่ เช่น ขายช่องทางออนไลน์มากขึ้น
  • Diversification Strategy: ลูกค้าใหม่ สินค้าใหม่ มีความหลากหลายของสินค้า

เผื่อใครอยากได้เป็น template ไว้ใช้ ทางเราแคปมาไว้แล้วล่ะ

ดูว่าใครเป็นผู้เล่น และมีช่องว่างตรงไหนบ้าง

  • MK ขายสุกี้ ลูกค้าชอบสั่ง a-la-cart
  • สุกี้ตี๋น้อยแย่งชิงการตลาดของ MK เป็นกลุ่มบุฟเฟ่ต์ เน้นความคุ้มค่า
  • สุกี้จินดา สุกี้หม่าล่าสายพาน ขาย a-la-cart ขายกลุ่มที่กิน MK แต่เป็น product ใหม่
  • ลื้อดูร้อน เจาะกลุ่มสุกี้ เป็นบุฟเฟ่ต์ ปล. ไม่ใช่เจ้าแรกที่ทำนะ จริง ๆ มีร้านสามก๊กที่มาทำสายนี้ก่อน

ถ้าผู้เล่นเยอะมาก ทำยังไงต่อ ที่ทำให้แตกต่างจากคนอื่น?

ต้นทางคือวิธีคิด ดังนั้นขยาย dimension เพิ่มอีกแกนนึง ขยายมิติในการขาย อาจจะเสิร์ฟประสบการณ์ใหม่ ๆ concept ใหม่ ๆ หรือใช้เทคโนโลยีมาช่วย ร้านสามก๊กเป็นร้านสายพาน ยังเสียบไม้อยู่ แต่ร้านลื้อดูร้อนใช้วิธีตักเอา วิธีคิดทำให้แตกต่างขึ้นได้

เพื่อลด pain point อาจจะมีคนที่เน้นกิน กับคนกินหลากหลาย เอามาถัวเฉลี่ยกัน และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ถ้าสินค้าเรามีความหลากหลาย เขาจะรู้สึกคุ้ม

จุดเริ่มต้น หาเจอแล้วค่อยทำ branding ทำอะไรให้แตกต่าง แล้วค่อยคิดชื่อแบรนด์ ซึ่งมี advocate แนะนำ มีคน support คอยช่วย คอยช่วยสนับสนุนกัน sharing knowledge กัน

ผลคือคนต่อคิวเยอะมาก ไม่ได้ทำการตลาด เพราะมีคนทำให้

อันนี้จุดขายของทางลื้อดูร้อน หม่าล่า สายพาน จุดแตกต่างที่ร้านอื่นไม่มี เช่น อาหารหลากหล่น กุ้งแกะให้ เน้นความสดของวัตถุดิบ

New Competitor Challenge

Business Model สามารถ Copy ได้ แต่ Business Mindset Copy ไม่ได้

แนวทางการทำธุรกิจลอกกันไม่ได้ เช่น ของเก่าให้ทิ้ง ของต้องเติมให้เต็มตลอดเวลา การบริการดี ของหลากหลาย เอาใจลูกค้าไปใส่ ทำยังไงให้เขาคุ้มค่า และกลับมาร้านซํ้าอีก ดู feedback ลูกค้า แล้ว check คุณภาพให้คงที่

บางคนลด cost เช่น ลดคน ลด cost โดยไม่ยอมทิ้งของเก่า กลัวขาดทุน เพราะผักอยู่ในสายพาน โดนอากาศร้อน อากาศเย็น จะทำให้ผักเหี่ยว

เปลี่ยนทัศนคติ รู้แล้ว ต้องทำด้วย ไม่งั้นจะรู้งี้

กว่าจะสำเร็จก็ต้อง failed มาก่อน เปลี่ยนวิธีคิด มาปรับแก้ มี passion และ mindset ที่ถูกต้อง

เคล็ดลับในการทำธุรกิจ

ถ้าทำได้ เรามาถูกทางแล้ว

  • ถ้าเขาเก่งกว่า ให้เขาทำ เป้นการซื้อเวลา
  • หาเงินหรือธุรกิจมาจ้างคนเก่ง สร้างธุรกิจ จ่ายเงินคนเก่ง ซื้อเวลาไม่ต้องลงทุนทำ หลุดจากกับดับชีวิต เอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจ คอยดู monitor อยู่ห่าง ๆ แก้ไขให้
  • ใช้ชีวิต เช่น ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น

ทั้งหมดก็จะมีประมาณนี้เนอะทุกคน ใครชอบก็อย่าลืมส่งต่อกันเยอะ ๆ เข้าคอมมู Oppa Bear กันบ่อย ๆ หรือจะรีโพสทวิตนี้กันก็ได้น้า และขอบคุณ sessionดี ๆ จากทางพี่โอ๊ตด้วยนะคะ รู้อะไรไม่สู้ลงมือทำนะ

ส่วนอันนี้ คลิป AMA ของทาง Oppa Bear น้า

https://youtu.be/hR4HIhsd3nM
https://youtu.be/R8xeRpDMN94

ติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ และทุกช่องทางโดเนทกันไว้ที่นี่เลย แนะนำให้ใช้ tipme เน้อ ผ่าน promptpay ได้เต็มไม่หักจ้า

ติดตามข่าวสารแบบไว ๆ มาที่ Twitter เลย บางอย่างไม่มีในบล็อก และหน้าเพจนะ

Tags

Minseo Chayabanjonglerd

I am a full-time Android Developer and part-time contributor with developer community and web3 world, who believe people have hard skills and soft skills to up-skill to da moon.